ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรงกับการดื่มนม


                  ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง...กับการดื่มนม.... นมเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนและแคลเซี่ยม เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีเราควรดื่มนมอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้ว นอกจากนี้นมยังแบ่งได้อีก 2 แบบ คือ นมจากพืชและนมจากสัตว์ ซึ่งนมทั้งสองแหล่งก็มีคุณสมบัติในด้านคุณค่าสารอาหารแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ยังมีประโยชน์ทั้งคู่อยู่ดี
                 เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่พูดถึงเรื่องพฤติกรรมการดื่มนม ว่าดื่มอย่างไรถึงจะได้คุณค่ามากที่สุด โดยได้มีการเสนอผลการวิจัยว่า การดื่มนมอุ่นๆ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรือเท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเราเอง จะมีผลดีมากที่สุด เนื่องจาก โปรตีนและแคลเซียมจากนม จะสามารถแตกตัวได้ดีกว่า การดื่มนมเย็น นอกจากนี้ การดื่มนมอุ่นยังส่งผลช่วยในการขยายหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้สารอาหารต่างๆที่ลำเลียงผ่านหลอดเลือดเดินทางไปได้ดีขึ้นอีกด้วย
                 นี่ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆในการดื่มนม ที่บางคนยังไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การดื่มนมไม่ว่าจะเป็นนมร้อนหรือเย็นก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น เป็นหนทางการดูแลสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย


ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรงกับประโยชน์ของแมงลัก...

ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรงกับประโยชน์ของแมงลัก   ใครรู้บ้างว่าตัวเองแบกอุจจาระไปไหนต่อไหนกีกิโลกรัม?    หมอพรทิพย์เคยผ่าศพพบอุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีอุจจาระน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม มันตกค้างอยู่ได้อย่างไร

อุจจาระตกค้าง อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม...่ละเอียด
2.. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

                หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า    ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น    ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ  ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ

นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล

รู้เท่าทันสุขภาพกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ



รู้เท่าทันสุขภาพกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือของใกล้ตัวที่สุดแล้วครับตอนนี้   มีรายงานผลทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือสามารถ แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ และเป็นรังสีชนิดเดียวกับเตาไมโครเวฟซึ่งเป็นคลื่นความร้อนทำลายเซลล์ดีหลายชนิดเพียงแต่มีปริมาณ รังสีที่น้อยกว่าเตาไมโครเวฟเท่านั้นผลจากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ารังสีไมโครเวฟ สามารถทำลายเซลล์ประสาทและเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เป็น โรคต้อกระจกเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ของโลหิตและยังเป็นสาเหตุของความอ่อนแอในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย                   

                   หน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีของโทรศัพท์ไร้สาย หรือ “WTR” (Wireless Technology Research) ได้ทำการศึกษา     ผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์ มือถือเป็นเวลา 7 ปี ก่อนจะมีรายงานสรุปผลออกมาสู่สาธารณชนว่ารังสีไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเครื่องโทรศัพท์ มือถือนั้นมีฤทธิ์ ทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด แต่สิ่งที่น่ากลัว     ไม่ใช่ระดับความถี่ของรังสีไมโครเวฟ แต่เป็นช่วงระยะเวลาของการใช้งานดังนั้นผู้ที่ ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็น โรคเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่งซึ่ง เรียกกัน ทางการแพทย์ว่า “Neuroepithelial Tumors” และดร.เล็นนาร์ท ฮาร์เดลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจากสวีเดน กล่าวว่ามีข้อ     บ่งชี้ทางชีววิทยา ว่ารังสีไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือมีความเสี่ยงต่อการเกิด เนื้องอกในสมองสูงถึง 2.5 เท่า และในเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี จะดูดซับรังสี ไมโครเวฟในอัตราที่สูงกว่าผู้ใหญ่ถึง 3 เท่า


ขอขอบคุณ...ชมรมล้างพิษ พิชิตโรค

รู้เท่าทันสุขภาพกับการตรวจสอบความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่...


รู้เท่าทันสุขภาพกับวิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง...



                 รู้เท่าทันสุขภาพ....ในวันนี้เรามาดูวิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้.....

              มีเรื่องเล่าว่าในระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัวเธอเองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น   หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว    ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)    แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่ นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

รู้เท่าทันสุขภาพกับประโยชน์ของ....ไข่......


รุ้เท่าทันสุขภาพกับ....ไข่...... จ้าาาาา

                      การรับประทานไข่ดิบหรือไข่ที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ หากไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับรับประทานไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น อัลบูลมินถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาลำไส้ ย่อยได้ยาก นอกจากนี้การรับประทานแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพียงเพราะกลัวไขมันคอเลสเตอรอลสูงจากไข่แดง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ อะวิดินไปจับกับ ไบโอตินในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาด ไบโอติน” (ซึ่งไบโอตินเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิวที่ทำให้แก่ก่อนวัย)

                    สำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพร่างกายปกติ สามารถรับประทานไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง ในกรณีที่มีไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง หรือมีภาวะโรคอ้วน ควรปรึกษาแพทย์ โดยสามารถรับประทานได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือรับประทานเฉพาะไข่ขาวได้ทุกวัน เพราะไข่ขาวจะไม่มีคอเลสเตอรอล

                   สำหรับ เด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียนไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถรับประทานไข่ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลังงานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา

                  กินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ 
1. รับประทานไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น
2. รับประทานไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ โดยเฉพาะการทานไข่ร่วมกับผักจะมีเส้นใยอาหาร ที่ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง
3. ควรรับประทานไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมาทานไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว
4. เมื่อรับประทานไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น ทานไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงข้าวขาหมู เครื่องในสัตว์ และเนื้อติดมัน
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้

รุ้เท่าทันสุขภาพ....ไข่...


อาหารเพื่อสุขภาพ..ซุปรากบัว...

ส่วนผสม…..
รากบัว1หัว
กระเพาะหมูเจ1/2ลูก
ลูกจ้อแดง4ลูก
เกลือ1ช้อนชา
ถั่วลิสง    150    กรัม
เกลือ    1    ช้อนชา

วิธีการทำ.....
1.ล้างรากบัวให้สะอาด หั่นเป็นแว่น ล้างถั่วลิสงและลูกจ้อแดงให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.ทอดกระเพาะหมูเจให้เหลือง ช้อนขึ้นมาหั่นเป็นเส้น
3.ใส่เครื่องปรุงลงในหม้อตุ๋น ใช้ไฟอ่อน ๆ ตุ๋นนานประมาณ 30 นาที เพื่อให้เปื่อย แล้วจึงใส่กระเพาะหมูเจลงไปตุ๋นด้วยกัน
4.ปรุงรสด้วยเกลือ ตุ๋นจนกว่าเครื่องปรุงจะอ่อนนิ่ม ชิมรสตามชอบ ตักเสิร์ฟ

อาหารเพื่อสุขภาพ..ผัดผักกาดเขียวเห็ดหอมเจ...

ส่วนผสม
เห็ดหอมแช่น้ำ   10ดอก
ใจผักกาดเขียว   1ต้น
ขิง2   ท่อน
แครอทหั่น 1/2 หัว
แป้งข้าวโพดละลายน้ำ1ช้อนโต๊ะ
ซิอิ๊วขาว2ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย   1ช้อนโต๊ะ
เกลือ1ช้อนชา
น้ำมันพืช2ช้อนโต๊ะ
น้ำแช่เห็ดหอม1/2ถ้วย
เกลือ1ช้อนชา
น้ำมันพืช2ช้อนโต๊ะ
น้ำแช่เห็ดหอม1/2ถ้วย

วิธีการปรุง
1.ลอกใจผัดกาดเขียวออกเป็นแผ่น ๆ นำไปลวกน้ำร้อนจนสุก ตักขึ้นแล้วราดด้วยน้ำเย็น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.แช่เห็ดหอมในน้ำให้นิ่ม ตัดก้านออก นำไปผัดน้ำมันจนหอม ใส่เครื่องปรุงลงไปต้ม รอจนน้ำแกงจวนแห้งจึงตักขึ้น
3.ตั้งกระทะผัดผักกาดเขียว ใส่เห็ดหอมลงไป ผัดจนเข้ากัน ปรุงรสตามชอบ  ตักเสิร์ฟ


อาหารเพื่อสุขภาพ...ต้มข่าไก่เจ...

ส่วนผสม
ไก่เจหั่นชิ้นโต 1 ถ้วยตวง
เห็ดนางฟ้าฉีก 7-8 ดอก
หัวกะทิ ½ ถ้วยตวง
หางกะทิ 2 ถ้วยตวง
ข่าอ่อนหั่นเป็นแว่น 10-15 แว่น
ตะไคร้บุบเบาๆ หั่นแฉลบ 2-3 ต้น
ใบมะกรูดฉีกก้านกลางออก 5-6 ใบ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ซิอิ๊วขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ
ซุปผงรสเห็ดหอม 2 ช้อนชา
พริกขี้หนูสวนสีเขียว, สีแดง, สีเหลือง 7-8 เม็ด
น้ำมะนาว 4-5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
บุบพริกขี้หนูพอแตก แล้วนำใส่ในน้ำมะนาวเพื่อไม่ให้พริกดำ
ต้มหางกะทิให้เดือด คอยคนอย่าให้กะทิเป็นลูก ใส่ไก่เจ เห็ดนางฟ้าฉีก ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด
ปรุงรสด้วยเกลือป่น ซิอิ๊วขาว ซุปผงรสเห็ดหอม พอสุกเดือดทั่วแล้วใส่หัวกะทิ พอเดือดอีกครั้งยกลง
ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกขี้หนู

อาหารเพื่อสุขภาพ...แกงไตปลาเจ...


ส่วนผสม

เห็ดฟาง                   1             ถ้วย
เห็ดนางฟ้า              1              ถ้วย
เม็ดบัวต้ม               1/2          ถ้วย
พริกแกง                 1               ช้อนโต๊ะ

ถั่วลิสง                    1/2          ถ้วย
ใบมะกรูด                3              ใบ
ซีอิ๊ว                         3              ช้อนโต๊ะ
เกลือ                       1               ช้อนชา
เม็ดมะม่วงหิมพานต์          1/4         ถ้วย

วิธีปรุง

1. ต้มน้ำใหห้เดือด จากนั้นใส่พริกแกงลงไปในหม้อ
2. ใส่เต้าหู้ยี้ เต้าเจี้ยว คนให้เข้ากัน
3. ใส่เห็ดฟาง และเห็ดนางฟ้าลงไป ต้มจนเดือดแล้วปรุงรสตามใจชอบ
4. ใส่เม็ดบัว เม็ดมะม่วงหิมพาต์ ถั่วลิสง แล้วปรุงรสอีกครั่ง กินแกงนี่กับข้าวสวยร้อนๆ จะอร่อยมากยิ่งขึ้น

อาหารเพื่อสุขภาพ..ยำถั่วพูเจ...


ส่วนผสม

น้ำมันพืช          1/2          ถ้วยตวง
เต้าโมเมนบี้หยาบๆ         1/4          กล่อง
น้ำพริกเผาสูตรเจ          1          ช้อนโต๊ะ
หัวกะทิ          3          ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ          1/3          ช้อนโต๊ะ
เกลือ          1/4          ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว          1          ช้อนชา
พริกขี้หนูซอย          1/4          ช้อนชา
มะนาว          2          ลูก
ถั่วพู          10-15          ฝัก
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด         10          เม็ด
แป้งข้าวโพด          1         ช้อนชา
พริกแห้งเม็ดเล็กทอดกรอบ          10          เม็ด

วิธีทำ

ตั้งกระทะให้ร้อน  ไฟปานกลาง  ใส่น้ำมัน  พอร้อนจัดก็ใส่เต้าหู้ลงไปทอดจนเหลืองกรอบ
เทน้ำมันในกระทะออกให้หมด  นำกลับไปวางบนเตา  ไฟอ่อน  ใส่น้ำพริกเผาลงผัดกับเต้าหู้จนหอม  ตักขึ้นใส่กะละมังสำหรับคลุก   เติมหัวกระทะ 2 ช้อนโต๊ะ  น้ำตาลปี๊บ  เกลือ  และซีอิ๊วขาว  คนให้เข้ากัน  ใส่พริกขี้หนูซอย  บีบมะนาว  คนให้เข้ากัน  ชิมดูให้รสเปรี้ยวเค็มนำ  หวานตาม  มันๆ เผ็ดนิดหน่อย   ล้างถั่วพูให้สะอาด  ตัดขั้วและปลายทิ้งไป  ดึงเส้นข้างๆ ที่แข็งออกด้วย  หั่นบางๆ ตามขวาง  หนาประมาณ 0.3 ซม.   ตั้งน้ำในหม้อไฟแรง  จนน้ำเดือดจัด  ใส่เกลือเล็กน้อย  แล้วนำถั่วพูที่หั่นไว้ลงลวกเร็วๆ ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นจัด  เพื่อให้ถั่วพูคงความเขียวและกรอบ  เทใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ  แล้วใส่ลงคลุกกับน้ำยำในกะละมังจนเข้ากันดี  ตักใส่จาน   ผสมแป้งข้าวโพดกับกะทิ 1 ช้อนโต๊ะที่เหลือ  คนให้แป้งละลาย  นำเข้าเตาไมโครเวฟ 10 วินาที  คนให้เข้ากัน  แล้วตักราดบนยำถั่วพู  โรยหน้าด้วยพริกแห้งทอดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์เสิร์ฟ