รู้เท่าทันสุขภาพกับ 9 วิธี ทำให้คุณห่างจากน้ำตาล ช่วยให้ผอมไว


                       น้ำตาลนั้นเป็นสิ่งที่คนลดน้ำหนักอย่างเราควรหลีกเลี่ยงไม่ต่างจากไขมัน เพราะน้ำตาลนั้นเมื่อเข้าไปในร่างกายคุณแล้ว ถ้ามันเยอะเกินไปสุดท้ายมันก็จะสะสมแล้วกล้ายเป็นไขมันในที่สุด ดังนั้นคุณก็ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันว่าวิธีที่จะช่วยให้คุณอยู่ห่างจากน้ำตาลนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย



หยุดเติมน้ำตาลลงไปในอาหาร
          เป็นวิธีที่ง่ายและเห็นได้ชัดที่สุด เพราะการใส่น้ำตาลลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือก๋วยเตี๋ยวก็เป็นอะไรที่ปกติมากในชีวิตประจำวัน แต่ถึงแม้น้ำตาลจะทำให้รสชาติอาหารดีขึ้น แค่เฉพาะในตอนลดน้ำหนักเท่านั้นที่ควรจะหลีกเลี่ยงมันไปก่อน ถ้าทำได้คุณก็จะลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อวันไปเยอะเลยล่ะ

ลดหรือเลิกอาหารแปรรูปที่เป็นคาร์โบไฮเดรต
          คาร์โบไฮเดรตนั้นเป็นแหล่งพลังงานที่ดี แต่มันจะกลายเป็นน้ำตาล และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นไขมันในที่สุด ซึ่งมันฟังดูไม่ดีเลยสำหรับคนลดน้ำหนักอย่างเรา อาหารแปรรูปจำพวกนี้ก็อย่างเช่น ขนมปัง และอาหารขยะ อาหารรับประทานเล่นต่างๆนั่นเอง

อ่านฉลากให้ดี
          ถึงแม้มันจะเหมือนภาษาต่างด้าวซึ่งอ่านยากเย็นเหลือเกิน แต่การตรวจปริมาณน้ำตาลบนอาหารที่กำลังจะซื้อนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก ถ้ามีน้ำตาลเยอะก็ควรจะวางลงซะ เลือกแต่อันที่มีน้ำตาลน้อยๆลงตะกร้าจะดีกว่า

ใส่สีสันให้กับอาหาร
          สีสันของอาหารนั้นก็ถือเป็นตัววัดของการมีสุขภาพดีตัวหนึ่ง เพราะอาหารที่มีสีสดนั้นก็จะบ่งบอกถึงความสดใหม่และความมีคุณภาพ ซึ่งถ้าเป็นอาหารแปรรูปนั้นก็ไม่นับนะ เพราะฉะนั้นก็จะเหลือแต่ผักผลไม้ที่มีน้ำตาลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคุณแล้วนั่นเอง

จำกัดปริมาณผลไม้
          ต่อจากข้อที่แล้วคือคุณสามารถที่จะรับประทานผลไม้ได้ แต่ปริมาณนั้นก็ต้องไม่มากเกินไป เพราะถึงแม้น้ำตาลจากธรรมชาติจะมีประโยชน์ต่อร่างกายคุณ แต่สุดท้ายแล้วถ้าได้รับมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันอยู่ดี เพราะฉะนั้นลดปริมาณลงให้เหลือพอดีๆก็จะดีมากเลย

ทำอย่างไรให้สุขภาพดีกับผิวสวยจากภายใน...



รับประทานผักและผลไม้ให้เยอะ หลีกเลี่ยงฟาสต์ฟู้ด 
          ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผิวสวยได้จากภายใน ทั้งเปล่งประกายและดูสดชื่น คือการได้รับอาหารที่มีสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อผิวพรรณ ซึ่งสารเหล่านั้นพบมากในผักผลไม้นั่นเอง และหลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ดเสียให้ไกล นอกจากไขมันสูงแล้ว ส่วนใหญ่มักมีเกลือเยอะ เมื่อกินเข้าไปมาก ๆ จึงทำให้บวม
 ดื่มน้ำเปล่าและน้ำผลไม้
               น้ำเปล่าช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่เซลล์ผิวหนังได้จากภายใน ผิวจึงไม่แห้งกร้านและดูอิ่มเอิบนุ่มนวลดี แถมยังช่วยขับของเสียในร่างกายออกมาทางเหงื่อหรือปัสสาวะอีกด้วย ส่วนน้ำผลไม้ก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินอันเป็นประโยชน์ต่อผิวมาก ๆ เช่นกัน

ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง..กับ 18 วิธีง่ายๆๆ...


   


 1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
      ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

    2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
       ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

    3. อย่าปล่อยให้หิว
       ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

    4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
        ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

    5. นาฬิกาชีวภาพ
       หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

ทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง...





1. การกิน
         หากกินผิดนอกจากจะแก่เร็วแล้ว ยังทำให้ป่วยด้วยอาหารที่ทำลายสุขภาพที่สุดคือ เนื้อ นม ไข่ ผมไปทำงานที่โรงพยาบาล (บางประกอก 1) สัปดาห์ละสองวัน พบว่าเด็กสมัยนี้ป่วยเป็นมะเร็งกันมาก บางคนเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย มีกรณีหนึ่งอายุ 11 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งนม สอบถามผู้ปกครอง ปรากฏว่าเด็กคนนี้กินไก่พวกฟาสต์ฟู้ดส์วันละตัว ทำให้ตัวโตผิดปกติ เพราะรับฮอร์โมนจากไก่ที่ติดมาจากกระบวนการเลี้ยง เมื่อร่างกายรับสารเหล่านี้เข้าไปมากๆ จะทำให้เซลล์เติบโตผิดปกติ และกลายเป็นมะเร็งได้
     น้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาลฟอกขาวก็เช่นกัน เป็นเหมือนยาพิษ เมื่อกินเข้าไปบ่อยๆ จะไปเคลือบต่อมย่อยอาหารในลำไส้ ทำให้เกิดพิษ (toxin) และทำให้ร่างกายป่วย เรื่องของอาหาร คุณกินผิดหรือไม่ ลองไปสำรวจตัวเองดู ตัวอย่างที่แสดงว่าคุณกินผิด อาการจะมีหลายอย่าง ตั้งแต่เจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งไปถึงเรื่องมะเร็ง ล้วนเกี่ยวกับเรื่องของการกินทั้งสิ้นเปลี่ยนนิสัยการกินเป็นเรื่องยาก
     ตั้งแต่ผมทำการแพทย์ทางเลือก การแพทย์ผสมผสานมา สิ่งที่ยากที่สุดในโลกคือการเปลี่ยนนิสัยการกิน เพราะสิ่้งที่คุณชอบมันไปติดอยู่ในสมองคุณ มันเป็นเจ้านายคุณ ไม่กินหวานไม่ได้
     เพื่อนผมอยู่เยอรมนี ภรรยาเป็นโรคเบาหวาน พอผมไป เขาดีอกดีใจ ขอให้ช่วยแนะนำหน่อย จะช่วยแก้เบาหวานได้ไหม ผมบอกว่าง่ายนิดเดียว ผมก็ทำสูตรอาหารให้ พอเห็นสูตรอาหารเขาถามว่าแป้งต้องเป็นแป้งไม่ขัดขาวแปลว่าอะไร ผมก็บอกว่าเป็นพวกข้าวแดง เขาถามอีกว่ากินก๋วยเตี๋ยวได้ไหม มะกะโรนีกินได้ไหม สปาเกตตีกินได้ไหม ผมบอกว่าทุกอย่างที่ทำมาจากแป้งขาวกินไม่ได้ เขาบอกว่าไม่รักษาแล้ว
     เพราะอะไรน่ะหรือ คนเป็นเบาหวานติดแป้งขาว หากไม่ได้กินจะกระวนกระวาย ติดรสหวาน หากไม่ได้กินจะหงุดหงิดมันเป็นความจำส่วนหนึ่งในสมอง ถ้าคุณแก้ตรงนี้ได้ คุณเป็นเจ้านายเลย
     มีคนแถวบ้านที่สนิทกันมากมาให้รักษามะเร็งปอด เป็นเถ้าแก่ใหญ่ อายุเจ็ดสิบกว่า ผมก็ทำสูตรอาหารชีวจิตให้กิน ให้ปฏิบัติ แล้วก็ให้ยาแบบชีวจิต อาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ เดินได้วิ่งได้ อยู่มาวันหนึ่งแกให้ลูกชายมาเรียกผมไปคุย ถามว่าจะให้กินแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร ผมถาม ทำไมล่ะ กินมาแล้วแข็งแรงดี หายจากโรคภัยไข้เจ็บ มันดี เถ้าแก่ก็กินต่อไปสิ แกตอบว่า "ถ้าให้กูกินแบบนี้ ให้กูตายดีกว่า" แกพูดอย่างนี้จริงๆ
     การเปลี่ยนเรื่องนิสัยการกินยากที่สุดในโลก เพราะในสมองจะมีสารตัวหนึ่ง เราเรียกว่า "Brain Chemistry" ซึ่งจะมีผลต่อส่วนต่างๆ ของสมอง ซึ่งมาบังคับให้คุณทำอะไรตามอิทธิพลของสมอง ตรงส่วนที่ว่าเราชอบอย่างโน้นชอบอย่างนี้ และเกลียดตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งส่วนนี้จะอยู่ในส่วนกลางของสมอง เรียกว่า "Bid Brain"
     ตกลงคือว่าเราต้องหัดร่างกายให้ดี แล้วร่างกายดี มีสุข สนุกกับการทำงาน ร่างกายดีคือ สุขภาพต้องดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจก็ดี เพราะจิตใจเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพ เราต้องมีวิธีฝึกปฏิบัติหัดให้ร่างกายผ่อนคลาย (Relax) ฝึกสมาธิง่ายๆ เพื่อให้ใจสงบ
     ผมมีหลานอายุขวบกว่าก็กินชีวจิต พอโตหน่อยไม่ได้กินนมแม่แล้ว ก็ให้กินนมถั่วเหลืองและกินข้าวซ้อมมือ แล้วทำน้ำอาร์.ซี.ให้กิน  แกก็แข็งแรงและท่าทางจะฉลาดกว่าปู่เสียอีก
     ผมชอบสูตรของพระนะ ถ้าพระวัดป่ากินอาหารมื้อเดียวดูน้อยเกินไป ส่วนพระธรรมดากินอาหาร 2 มื้อ งดอาหารเย็นอันนี้ถูกต้อง ตามหลักของสรีรวิทยาบอกว่า เมื่ออายุ 30 ขึ้นไป ทุกๆ สิบปีควรจะลดแคลอรีของอาหาร 8 เปอร์เซ็นต์ อายุ 50 ปี ลดไป 16 เปอร์เซ็นต์ ลดพลังงานจากอาหารให้น้อยลง แต่ไม่ได้ลดปริมาณอาหาร มื้อเย็นไม่จำเป็นต้องกิน แต่เราไม่ได้เป็นพระ มื้อเย็นก็กินพวกผลไม้ น้ำผลไม้ อะไรนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้มีอะไรรองท้อง ทำให้เราสดชื่น มีชีวิตชีวา เพราะฮอร์โมนส่วนมากมาจากอาหาร

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารเพื่อสุขภาพฟัน...


                     อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่อีกด้านหนึ่งการกินไม่เลือก ไม่ระมัดระวังก็มีโทษสำหรับร่างกายเช่นกัน ตอนนี้เรารณรงค์ในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่รับประทานแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม ไม่อ้วน อาหารที่กินแล้วไม่ก่อให้เกิดโรค เช่น ไขมันอุดตันในเลือด โรคหัวใจ ทางทันตกรรมก็เช่นกัน เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารอย่างมากในการป้องกันโรคฟันผุ โรคเหงือก
เมื่อเรารับประทานอาหารผ่านเข้าไปในช่องปาก แบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นบางๆ เหนียว ที่เรียกว่า Plaque (แผ่นคราบ) จะเปลี่ยนอาหารเหล่านั้นให้เป็นกรดทำลายฟันและเหงือกแบคทีเรียเหล่านี้ชอบอาหารหวาน อาหารที่เป็นแป้งมาก หลังรับประทานอาหารหากยังไม่แปรงฟันทันที แบคทีเรียเหล่านี้ก็ทำหน้าที่สร้างกรดไปเรื่อยๆ ดังนั้นยิ่งรับประทานอาหารบ่อยๆ 3 มื้อหลักแล้วยังมีแทรกระหว่างมื้อ อาหารก็สัมผัสกับฟันมากขึ้นโอกาสที่ฟันและเหงือกก็ถูกทำลายมากขึ้น อะไรบ้างที่ ควร หรือ ไม่ควร ในการดูแลรักษาสุขภาพฟัน



ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่  ให้เกิดความสมดุล
- ขนมปัง ข้าว Cereal อาหารที่มีกากใย
- ผลไม้
- ผัก
- เนื้อปลา ถั่ว
- นม ชีส โยเกิต
ถ้าหากจะทานอาหารว่างลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ให้ทาน ผัก ผลไม้แทน แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน Dental Floss พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

ไม่ควรให้น้ำตาลสัมผัสฟันนาน ๆ
- ลดการอมลูกอม 
- ขนมกรอบๆ เหนียวๆ ติดฟัน
- น้ำอัดลม (Soft drink) มีน้ำตาลเยอะมาก 1 กระป๋อง บางยี่ห้อมีน้ำตาล 11 ช้อนกาแฟ ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม อย่าดื่มน้ำอัดลมทุกมื้ออาหาร
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลต่อ
- ฟันเปลี่ยนสี
- เสี่ยงต่อโรคเหงือก
- เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปาก ลำคอ

                    กุญแจสำคัญในการเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดไม่ใช่จะไม่กินพวกแป้ง น้ำตาลเลย แต่ต้องระวังในการกินและคิดก่อนกินทุกครั้ง เพราะอาหารมีผลต่อสุขภาพของเรา ถ้าเราสามารถควบคุมและผักให้เป็นนิสัยก็จะส่งให้สุขภาพของเราดี และยิ้มได้อย่างสวยงาม


ขอขอบคุณ.......ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ


                        





             การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ

1. ให้ลดปริมาณไขมันที่มีอยู่ในอาหารทั้งหมดให้เหลือเพียง 35% ของแคลอรีที่รับประทานในแต่ละวัน ซึ่งปัจจุบันคนเราได้พลังงานจากไขมันสูงถึงกว่า 40%
2. ควรจำกัดไขมันชนิดอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ หรือไขมันจากพืช หรือปลา แต่มาทำให้อยู่ในสภาพแข็งโดยวิธีเอาน้ำออก ที่เรียกว่าไฮโดรจีเนชัน
3. ให้ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนไขมันชนิดอิ่มตัว เพื่อลดปริมาณคอเลสเตอรอล
4. ต้องลดอาหารทุกชนิดเพื่อลดจำนวนแคลอรีลง โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว หมายความว่าต้องลดทั้งคาร์โบไฮเดรต และไขมันด้วย เพราะคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านขบวนการแล้วโดยเฉพาะพวกน้ำตาลและแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการใช้เป็นพลังงาน


ข้อแนะนำวิธีการลดไขมันอิ่มตัว

1. รับประทานเนื้อและไข่แดงให้น้อยลง แต่ให้เพิ่มเนื้อสัตว์ปีกและปลาให้มากขึ้นแทน เลือกรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน พยายามตัดส่วนมันที่ติดอยู่กับเนื้อสัตว์ออกให้หมด ควรปิ้งหรือย่างมากกว่าทอด
2. ไม่ควรใช้เนยสดแต่ให้ใช้มาการีนชนิดนุ่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทน มาการีนชนิดนี้จะอ่อนตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในตู้เย็นหรืออุณหภูมิห้องตามปกติ หลีกเลี่ยงครีมและไขมันที่ลอยเป็นฝาอยู่บนนมเสมอ
3. ใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเวลาปรุงอาหาร เช่นน้ำมันข้าวโพด นำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันดอกคำฝอย อย่าใช้มาการีนที่แข็งตัวได้หรือน้ำมันหมู น้ำมันปรุงอาหารที่ติดสลากไว้เพียงคำว่า “น้ำมันพืช” อาจมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงมากและมีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเพียงนิดเดียว
4. รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น

อาหารเพื่อสุขภาพ

ยิ้มรับกับเช้าวันใหม่กับสิ่งดีๆๆ..และสุขภาพจิตที่ดี...



รู้เท่าทันสุขภาพกับ..8 เคล็ดลับ ดับความโกรธ..


                    ถึงแม้สุขภาพกายของเราจะแข็งแรงสมบูรณ์ แต่สภาพจิตใจของเรากับมีแต่ความขุ่นมัว ความโกรธ ความเครียดเกิดขึ้น  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีผลต่อการทำร้ายสุขภาพร่างกายของเราอีกอย่างหนึ่ง วันนี้มีเคล็ดลับในการดับความโกรธให้กับพี่ๆๆน้องๆๆได้ลองนำไปปฏิบัติกัน...

                   เมื่อสุึขภาพภายในจิตใจเราดี สุขภาพร่างกายของเราก็จะดีตามไปด้วย...


รู้เท่าทันสุขภาพกับการออกกำลังกายลดพุง...

             มาออกกำลังกายเพื่อลดพุงกันดีกว่า ทำแบบง่ายที่ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สิ่งที่ได้รับนั้นมากมายนะค่ะ...มาๆๆลดพุงกันเถอะค่ะ...



รู้เท่าทันสุขภาพกับ...เครื่องดื่มเพิ่มพุง...


กินเท่าไรจึงจะพอดี


   
       การปรับนิสัยการกินของตนเอง ไม่กินของหวานจัด มันจัดเค็มจัดเพิ่มการกินผักและผลไม้ให้มากขึ้นเป็นการเริ่มต้น ที่ดี สำหรับการกินอะไร ได้มากน้อยแค่ไหน ยังเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ คำว่า ” พอดี ” ของ แต่ละคนไม่เท่ากัน จะทราบได้อย่างไรว่าควรกินข้าว ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ นม ได้แค่ไหนจึงถูกหลักโภชนาการ ทุกวันนี้อาศัยความชอบ ความต้องการของตนเองเป็นหลัก หากบังเอิญกินได้ถูกต้องก็ถือว่าโชคดีไป แต่ขณะนี้ ไม่ต้องรอเสี่ยงโชคอีกแล้ว เพราะมีงานวิจัยที่สามารถกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสมครอบคลุมกลุ่มคนไทยอายุ ตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ บางท่านอาจเคยเห็นโปสเตอร์รูป ธงโภชนาการ ของกระทรวงสาธารณสุขมาแล้วเชื่อได้ว่ายังมีผู้ที่ไม่เคยเห็น หรือยังไม่สามารถ นำไปปฏิบัติได้ จึงขอให้หลักการง่าย ๆ ดังนี้คือ ขั้นแรกต้องจัดตัวเองว่าอยู่ในคนกลุ่มใดก่อน เพื่อจะดูว่าควรกินอาหารให้ได้รับพลังงานทั้งวันVปริมาณเท่าใด
 
ระดับพลังงาน แตกต่างกันตามเพศ วัย และกิจกรรม
         
พลังงาน 1600 กิโลแคลอรี สำหรับเด็ก หญิงวัยทำงาน และผู้สูงอายุ
         
พลังงาน 2000 กิโลแคลอรี สำหรับวัยรุ่น ชายวัยทำงาน
         
พลังงาน 2400 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ที่ใช้พลังงานมาก เช่น นักกีฬา เกษตรกร กรรมกร
   
          
ต่อจากนั้นก็มาดูว่า จะกินอย่างไรให้สมดุล ปริมาณพอดี ซึ่งต้องดูจากปริมาณอาหารในแต่ละกลุ่ม
อาหารกลุ่มแรกคือ กลุ่มข้าว - แป้ง ควรได้รับวันละ 8-12 ทัพพี อย่าเพิ่งดีใจว่ากินเท่าไรก็ได้ ความจริงก็คือ ต้องกินให้พอเหมาะกับความต้องการ พลังงานของตัวเอง ถ้าเป็นหญิงวัยทำงาน วัยทอง หรือสูงอายุ กินวันละ 8 ทัพพี ชายวัยทำงานวันละ 10 ทัพพี และถ้าใช้พลังงานมากก็กินได้ถึง 12 ทัพพี อาหารกลุ่มนี้รวมถึง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง และขนมทั้งหลายที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมเค้ก ซาลาเปา บัวลอย ซ่าหริ่ม อะไร ๆ ที่เป็นแป้งนับรวมอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด

อาหารกลุ่มต่อมาคือ กลุ่มผัก แหล่งของใยอาหาร ผู้ใหญ่ควรกินผักวันละ 6 ทัพพี เด็ก ๆ วันละ 4 ทัพพี (1 ทัพพีประมาณ 3-4 ช้อนกินข้าว ) เมนูอาหารจานผักหาทานไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม แกงเลียง แกงป่า หรือจอาหารจานเดียว เช่น ขนมจีนน้ำพริก น้ำยา หรือข้าวยำ ใน 1 มื้อได้ผัก 2 ทัพพี ไม่ยากนัก อย่าลืมหมุนเวียนชนิดของผัก จะได้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง และได้สารอาหารตามที่ต้องการ

กลุ่มผลไม้ ขอให้ยืดหลักว่า ควรทานผลไม้หลังอาหารทุกมื้อและระหว่างมื้อเมื่อหิว รวม ๆ แล้วควรได้ผลไม้วันละ 3-5 ส่วน แต่ละ 1 ส่วน ของผลไม้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ผล ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่ ฝรั่ง 1/2 ผล เงาะ 4 ผล ถ้าเป็นผลไม้ผลใหญ่ เช่น มะละกอ สับปะรด แตงโม ประมาณ 6-8 คำเท่ากับ 1 ส่วน ปริมาณผลไม้มากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงาน
อาหารกลุ่มผักและผลไม้อาจทดแทนกันได้บ้าง วันไหนกับข้าวไม่ค่อยมีผัก ก็เพิ่มผลไม้ รวม ๆ แล้วทั้งวันควรได้ ผัก - ผลไม้ รวมกันไม่น้อยกว่า 1/2 กิโลกรัมจึงจะได้ใยอาหารเพียงพอ

สิ่งที่คุณอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับ..น้ำอัดลม...


น้ำ - อัด - ลม 


            ช่วงนี้อากาศร้อน เห็นหลาย ๆ คนเลือกดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ อย่างเช่น "น้ำอัดลม" กันเยอะมาก เลยอยากแนะนำให้รู้จักกับโรคนี้ค่ะ........

"นิ่วในไต" จากการทานน้ำดำ เพราะในน้ำดำมีคาเฟอีนสูง 

"คาเฟอีน" มีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้ตกตะกอนเป็นนิ่ว และทำให้มีโอกาสสูญเสีย
แคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง

                    นอกจากจะเป็นนิ่วแล้ว ยังกระดูกพรุน กระดูกเปราะด้วยนะคะ และถ้าคนกลุ่มนี้โชคร้ายเป็นมะเร็ง เวลารักษาคีโมก็จะยิ่งทำลายมวลกระดูก มะเร็งจะลามไปที่กระดูกได้ง่าย เจ็บปวดทรมาณมาก ๆ
ไม่ใช่น้ำดำอย่างเดียวที่มีคาเฟอีนสูง ยังมีกาแฟสด กาแฟดำ ที่มีคาเฟอีนไม่แพ้น้ำอัดลมค่ะ ผลที่ได้ก็จะคล้าย ๆ กัน เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาลดีกว่า เพื่อสุขภาพ และลดความเสี่ยงของการก่อโรคอีกหลายโรคเลยนะคะ

อันตรายที่จะเกิดขึ้น...ถ้าคุณความเครียด...






พฤติกรรมทำลายสุขภาพ..ของชาวออฟฟิศ...


อันตรายจากขวดน้ำพลาสติกในรถ....


ขวดน้ำพลาสติกในรถ..อันตราย


                    เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว และ การเขย่า การกลิ้ง การกระแทก..จะทำให้สารพิษในขวดพลาสติด ออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่มสารพิษจากขวดน้ำและภาชนะพลาสติก รุนแรงเกินคาด มาดูกันว่าจะหลีกเลี่ยงได้ยังงัย
เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสารพิษจากขวดน้ำพลาสติก ที่ว่าเด็ก12ขวบชาวดูไบใช้ขวดพลาสติกใบเดิมใส่น้ำดื่มไปโรงเรียนทุกวันปีครึ่ง ปรากฎว่าเด็กตายหมอบอกว่าเด็กตายเพราะสารพิษจากขวดพลาสติก
ตอนแรกก็ไม่ได้ติดอกติดใจอะไร ก็รู้แค่ว่า ไม่ควรใช้ขวดน้ำใส่น้ำซ้ำ หมดแล้วทิ้งเลย (ขยะเกลื่อนกลาด) แต่วันนี้ได้บังเอิญไปพบเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากขวดพลาสติก อ่านแล้วตกอกตกใจ อดนำมาเล่าไม่ได้
ขวดพลาสติกโดยทั่วไป เช่นขวดน้ำดื่ม ผลิตจาก Polycarbonate หรือ PET (Polyethyleneterephthalate ) ขวดภาชนะพลาสติกเหล่านี้จะมีสาร Bisphenol A" เป็นสารหลักที่ใช้ทำพลาสติกใสสำหรับภาชนะบรรจุอาหาร ขวดนมเด็ก ขวดน้ำดื่ม นอกจากนี้ยังพบได้ใน ของเล่นเด็ก สารบุในอาหารกระป๋อง ภาชนะพลาสติกประเภท "Reusable" ภาชนะพลาสติกที่เขียนว่า "Microwaveable" อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในหมวกกันน็อกสำหรับเล่นกีฬา เลนส์แว่นตา เป็นต้น
สารพิษนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสะสมจนก่อให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ เนื่องจากสารพิษนี้ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเพศ ESTROGEN จึงทำให้เกิดอาการแปรปรวนต่างๆ

อาการและโรคที่เกิดขึ้น/และอาจเกิดขึ้นจากการได้รับสารพิษ Bisphenol A
1. อาการไฮเปอร์ Hyperactivity (สมาธิสั้น)
2. พฤติกรรมก้าวร้าว
3. มีปัญหาเรื่องความจำ และสมาธิ
4. พัฒนาการสมองช้า และอาจเป็นสาเหตุของโรคดาวน์ซินโดม(เอ๋อ)
5. โรคอ้วน
6. โรคเบาหวาน
7. กระตุ้นเซลล์มะเร็ง ทำให้เป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งเต้านม
8.ผลจากสารพิษช่วยเร่งให้เด็กย่างเข้าสู่วัยรุ่นเร็วขึ้น
(early puberty) แต่กลับกระทบต่อการสืบพันธุ์ เช่นทำให้เสปิร์มของเพศชายอ่อนแอและน้อยลง เกิด ภาวะตั้งครรภ์ยากและแท้งลูกง่ายในหญิง ฯลฯ
9. ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่อง(impaired immune function)
10. elimination of sex differences in behavior - มีพฤติกรรมที่แยกเพศไม่ออก
หรือมีพฤติกรรมที่ไม่รู้ว่าเป็นเพศอะไร
11. Reversal of normal sex differences in the brain structure - การจำแนกเพศกลับกันในโครงสร้างของสมองอ่านๆ ดูแล้วก็รู้สึกกลัวๆ เพราะ อาการและโรคเหล่านี้ มันดูเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับตัวเองและคนรอบๆ ตัว
สังเกตไหมว่า เด็กระยะหลังๆ เป็นโรคสมาธิสั้นหรือไฮเปอร์กันเยอะมากๆ รวมถึงประเด็นเรื่องเพศที่ 3 ที่มีเยอะ
มากๆ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือว่าจริงๆ แล้ว พวกเรากำลังได้รับผลกระทบจากสารพิษในพลาสติกนี้อยู่